วันที่ 27 มิถุนายน 2556 ผู้สื่อข่าวเผยสถิติล่าสุดของผู้ป่วยไข้เลือดออก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 สรุปรวมยอดผู้ป่วยทั่วประเทศมีจำนวน 54,042 ราย ในในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 62 ราย ซึ่ง ถือว่าปี 2556
มีสถานการณ์รุนแรงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีไข้เลือดออกระบาดหนักที่สุด คร่าชีวิต 33 ราย เจ็บ 33,113 ราย โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในภาคใต้ รองลงมา คือ ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง แบ่งตามจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตด้วยไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น...
อันดับที่ 1 พบผู้เสียชีวิต 10 ราย ได้แก่ สงขลา
อันดับที่ 2 พบผู้เสียชีวิต 6 ราย ได้แก่ จังหวัดเลย
อันดับที่ 3 พบผู้เสียชีวิต 3 ราย ได้แก่ สุรินทร์, อุบลราชธานี, เชียงใหม่. นครศรีธรรมราช, ชุมพร
อันดับที่ 4 พบผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้แก่ ปทุมธานี, สมุทรปราการ, อำนาจเจริญ, นครสวรรค์, สุโขทัย, พังงา, ภูเก็ต
อันดับที่ 5 พบ ผู้เสียชีวิต 1 ราย ได้แก่ กรุงเทพฯ, สระบุรี, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, นครปฐม, ระยอง, ประจวบคีรีขันธ์, นครราชสีมา, นครพนม, สกลนคร, กำแพงเพชร, พิษณุโลก, ตาก, ลำพูน, กระบี่, ยะลา, ปัตตานี
สำหรับอาการของโรคไข้เลือดออกนั้น หากมีไข้สูงถึง 39 องศาเซลเซียล และไข้ไม่ลดติดต่อกันในระยะเวลา 2- 3 วัน ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ ลักษณะอาการไข้เลือดออกมี 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 โรคไข้เลือดออกจะทำให้เส้นเลือดของผู้ป่วยเป็นรูพรุน และน้ำในเลือดไหลออกจากเส้นเลือด จึงส่งผลให้เลือดมีความข้นมากจนเกินไป เมื่อเลือดข้นจะทำให้เลือดไหลผิดปกติ ทำให้ช็อค และเสียชีวิตเฉียบพลัน
ระยะที่ 2 เมื่อเส้นเลือดของผู้ป่วยมีรูพรุน อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเลือดคั่งในอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย
ระยะที่ 3 ผู้ป่วยเสียชีวิต เนื่องจากเลือดคั่งในอวัยวะสำคัญ กระทั่งอวัยวะดังกล่าวล้มเหลว
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาไวรัสเดงกีของโรคไข้เลือดออก ซึ่งการรักษาไข้เลือดออก จะเน้นการประคับประคองอาการไม่ให้ไข้ขึ้นสูงจนคนไข้ช็อค และป้องกันเลือดคั่งในอวัยวะสำคัญของผู้ป่วย ด้วยการให้น้ำเกลือเพื่อทดแทนน้ำในร่างกาย และต้องให้เวลาร่างกายเพื่อสร้างภูมิต้านทานรักษาโรคเอง
ที่มา :กระปุกดอทคอม